เปรียบเทียบ Steel Fibers กับเส้นใยอื่น ๆ: ใครตอบโจทย์งานก่อสร้างดีกว่ากัน?
แนะนำการเลือกใช้งาน Steel Fibers กับ เส้นใยแบบอื่นให้เลือกใช้งานอย่างเหมาะสม
ในงานก่อสร้างยุคสมัยใหม่ ความแข็งแรง และ ความทนทานของโครงสร้าง ถือ เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง นวัตกรรมการเสริมคอนกรีตด้วยเส้นใย (Fiber Reinforcement) ได้กลายมาเป็นทางเลือกที่นิยมใช้แทนการเสริมแรงแบบดั้งเดิมบางส่วน เช่น การใช้เหล็กเสริม (Rebar) หรือ การวางลวดตาข่าย โดยหนึ่งในวัสดุที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ Steel Fibers (เส้นใยเหล็ก) ซึ่งถูกนำมาเปรียบเทียบกับเส้นใยประเภทอื่น ๆ เช่น เส้นใยแก้ว (Glass Fibers), เส้นใยโพลีโพรพิลีน (Polypropylene Fibers) และ เส้นใยธรรมชาติ (Natural Fibers) ดังนั้นบทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า Steel Fibers มีจุดเด่นอะไรบ้าง แตกต่างจากเส้นใยอื่น ๆ อย่างไร และ แต่ละประเภทเหมาะสมกับงานก่อสร้างแบบใด เพื่อช่วยให้วิศวกร สถาปนิก และ ผู้ประกอบการตัดสินใจเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสมและ คุ้มค่าที่สุด
ความสำคัญของเส้นใย Steel Fibers ในงานก่อสร้าง
คอนกรีตธรรมดาจะมีจุดอ่อนเรื่องความเปราะ และ แตกง่ายภายใต้แรงดึง แต่การเติมเส้นใยจะช่วยกระจายแรง และ ยับยั้งรอยแตก ทำให้โครงสร้างทนทานขึ้น ตามรายงานอุตสาหกรรมในปี 2025 ตลาด FRC ได้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี โดยเฉพาะในเอเชียรวมถึงประเทศไทยที่เน้นโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนด่วน และ เขื่อน Steel Fibers มีความโดดเด่นในด้านเพิ่มความแข็งแรง แต่เส้นใยสังเคราะห์อย่าง PP หรือ เส้นใยธรรมชาติ่ที่จะช่วยลดต้นทุน และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า การเลือกเส้นใยที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทโครงการ เช่น งานที่ต้องการความแข็งแรงสูงอย่างสะพานอาจเหมาะกับ Steel แต่สำหรับพื้นโรงงาน หรือ ถนนทั่วไป PP อาจคุ้มค่ากว่า นอกจากนี้ ในยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน เส้นใยรีไซเคิลอย่าง Steel จากยางรถยนต์เก่า หรือ Basalt จากหินภูเขาไฟกำลังได้รับความสนใจเพราะลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เช่นกัน
ทำความรู้จักกับ Steel Fibers คืออะไร?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Steel Fibers คือ เส้นใยที่ทำจากเหล็กกล้า (Steel) มีขนาดเล็กมาก ความยาวโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 25–60 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 0.2–0.8 มิลลิเมตร ลักษณะของเส้นใยอาจเป็นแบบตรง (Straight), แบบดัดงอ (Hooked End), แบบคลื่น (Crimped) หรือ แบบอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มการยึดเกาะกับคอนกรีต โดยคุณสมบัติหลักของ Steel Fibers นั้นได้แก่ มีความแข็งแรงสูง ทนแรงดึงได้ดี , มีการเพิ่มความเหนียว (Toughness) และ ความสามารถในการรับแรงกระแทก , ลดการแตกร้าวของคอนกรีตทั้งในช่วงต้น (Plastic Shrinkage Cracks) และ ระยะยาว และ ยังทนต่ออุณหภูมิสูง และ การสึกหรอได้ดีกว่าเส้นใยสังเคราะห์ ดังนั้น Steel Fibers จึงนิยมใช้ในงานก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น พื้นอาคารอุตสาหกรรม ถนนสนามบิน โครงสร้างกันดิน งาน Shotcrete สำหรับอุโมงค์ และ โครงสร้างที่รับแรงกระแทกบ่อยครั้ง
รู้จักกับเส้นใยประเภทอื่นๆเมื่อเปรียบเทียบกับ Steel Fibers ที่ใช้ในการเสริมคอนกรีต
- เปรียบเทียบ Steel Fibers กับ Polypropylene Fibers
Polypropylene Fibers เป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับงานก่อสร้างที่ต้องการควบคุมรอยแตกโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากให้โครงสร้าง ซึ่งต้องเทียบข้อดีของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ PP ได้ดังนี้- เพิ่มความแข็งแรงของแรงกด (Compressive Strength) ได้มากกว่า 10-20% และ มีความแข็งแรงของแรงดึง (Tensile Strength) สูงถึง 68% ในขณะที่ PP เพิ่มน้อยกว่าเพียง 10%
- Steel Fibers ทนต่อแรงกระแทก และ การสึกหรอดีกว่า เหมาะสำหรับพื้นอุตสาหกรรม หรือ ถนนที่รับน้ำหนัก
- Steel Fibers ช่วยเพิ่มความเหนียว (Toughness) ทำให้คอนกรีตไม่แตกหักง่าย ตามการทดสอบใน Reactive Powder Concrete (RPC) Steel ซึ่งช่วยเพิ่ม Flexural Strength 35.8% ขณะที่ PP จะลดลงในบางกรณี
ข้อเสียของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ PP
- Steel Fibers ราคาแพงกว่า และ หนักกว่า ทำให้ขนส่งลำบาก
- กระจายตัวของ Steel Fibers ไม่สม่ำเสมอ อาจจับตัวเป็นก้อนระหว่างผสม ทำให้ผสมยาก และ เพิ่มของเสียถึง 5-10%
- เสี่ยงเกิดสนิมในสภาพชื้น ขณะที่ PP ทนต่อสารเคมี และ ไม่เป็นสนิม
การใช้งาน: Steel Fibers เหมาะสำหรับสะพาน หรือ เขื่อนที่ต้องการความแข็งแรงสูงขณะที่ PP ดีสำหรับพื้นโรงงาน หรือ ถนนทั่วไปเพื่อลดการหดตัว และ รอยแตกจากพลาสติก
- เปรียบเทียบ Steel Fibers กับ Glass Fibers
Glass Fibers นั้นเหมาะสำหรับงานที่ต้องการน้ำหนักเบา และ ทนการกัดกร่อนได้ดี โดยข้อดีของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ Glass Fiber นั้น ได้แก่- Steel Fibers มีความแข็งแรงสูงกว่า โดยเฉพาะใน RPC Steel ซึ่งช่วยเพิ่ม Compressive Strength ถึง 8.7% และ Flexural ถึง 35.8% ขณะที่ Glass Fibers เพิ่มเพียง 7.26% และ 17.2% นั้นเอง
- Steel Fibers นั้นทนต่อแรงดึง และ การโค้งงอดีกว่า ไม่เสื่อมสภาพเร็วเท่า Glass Fiber ที่อาจลดความแข็งแรงเมื่อสัมผัสอากาศได้
- Steel Fibers เพิ่มความเหนียว และ แรงดูดซับพลังงานได้มากกว่า 153% เทียบกับคอนกรีตธรรมดา
ข้อเสียของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ Glass Fibers
- Steel Fibers หนัก และ ราคาแพงกว่า Glass ที่เบา และ ทนการกัดกร่อนสูงกว่า จึงเหมาะสำหรับงานในทะเล หรือ เขื่อน
- Steel Fibers เสี่ยงเกิดสนิม ขณะที่ Glass ทนต่อสารเคมี และ UV แต่ Glass อาจเสื่อมในสภาพอัลคาไลน์ของคอนกรีตมากกว่า
- Steel Fibers กระจายตัวยากกว่า Glass ที่เบา และ ผสมง่ายกว่า
การใช้งาน: Steel Fibers นั้นเหมาะสำหรับโครงสร้างรับน้ำหนักส่วน Glass Fibers เหมาะสำหรับแผ่นบาง หรือ งานตกแต่งที่ต้องการน้ำหนักเบา เช่น ผนัง หรือ หลังคา
- เปรียบเทียบ Steel Fibers กับ Basalt Fibers และ Natural Fibers
Basalt และ Natural Fibers เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนเนื่องจากทำจากวัสดุ เช่น เส้นใยมะพร้าว ปอ ป่าน ไผ่ เป็นต้น ส่วน Basalt ทำจากหินภูเขาไฟ ที่ทนทาน และ มีราคาย่อมเยา นิยมใช้ในงานก่อสร้างชุมชน หรือ โครงการที่ต้องการความยั่งยืน
โดยข้อดีของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ Basalt/Natural นั้นได้แก่- Steel Fibers มีความแข็งแรงสูงกว่า Basalt ที่แม้ทนทานแต่ Tensile Strength น้อยกว่า Steel และ Natural Fibers ที่ดูดซับน้ำสูงทำให้คอนกรีตพรุนได้
- Steel Fibers ช่วยเพิ่ม Flexural Strength และ Toughness ได้ดีกว่า Natural ที่เหมาะสำหรับงานไม่รับน้ำหนักมากนัก
ข้อเสียของ Steel Fibers เมื่อเทียบกับ Basalt/Natural:
- Steel Fibers นั้นแพง และ ไม่ยั่งยืนเท่า Basalt ที่ราคาถูก ทนความร้อนสูง (1450°C) และ รีไซเคิลได้ หรือ Natural ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่ทนทานน้อยกว่า
- Steel Fibers เสี่ยงเกิดสนิม ขณะที่ Basalt ทนสารเคมี และ ไม่เป็นสนิม
การใช้งาน: Steel Fibers นั้นเหมาะสำหรับงานรับน้ำหนัก ส่วน Basalt เหมาะสำหรับงานทนความร้อน และ Natural สำหรับงาน eco-friendly อย่างพื้นบ้าน เป็นต้น
จากที่กล่าวมาจะพบว่า Steel Fibers ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงสูงและ ทนทาน แต่สำหรับโครงการที่คำนึงถึงต้นทุน และ สิ่งแวดล้อม PP หรือ Basalt อาจตอบโจทย์กว่า หากงบจำกัด PP หรือ Natural คือ ทางออกอีกทางหนึ่ง แต่สำหรับโครงสร้างสำคัญ Steel Fibers ยังคงครองตำแหน่ง การเลือกใช้งานต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะโครงการที่ต้องการความแข็งแรงเพื่อความคุ้มค่าสูงสุด ดังนั้นเราขอแนะนำ บริษัท เจตริน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ที่ทำให้ท่านมั่นใจในคุณภาพ รวมทั้งบริการก่อน และ หลังการขายที่ได้มาตรฐาน เรารับออกแบบ และ รับสร้างโรงงานด้วยการผสม Steel Fibers เพื่อสร้างความแข็งแรง โดยโครงสร้าง BlueScope ที่จะสอดคล้องลงตัวกับทุกความต้องการของคุณ ด้วยเทคนิคการก่อสร้าง และ วัสดุที่ทันสมัยที่สุดในราคาคนไทย และ โดดเด่นด้วยคุณสมบัติหลายประการนั้นเอง
สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทางเหล่านี้เลย
Tel. : 092-546-5532
Tel. : +66 75-329-039 (Office)
Line ID : @jet65
Email : jettarin@jettarinengineering.co.th
(Head Office)
146/25 M.7 T. Chamai, A. Thung Song, Nakhon Si Thammarat, 80110 THAILAND
(Chiang Mai Branch)
62 M.2 T. Pa Pong A. Doi Saket, Chiang Mai 50220 THAILAND
เจตริน เอ็นจิเนียริ่ง ผู้นำที่จอดรถสำเร็จรูป ก่อสร้างโรงงาน โกดังสำเร็จรูป โดยนวัตกรรมใหม่ที่ทันสมัย ระดับสากล